31 ตุลาคม, 2557

Line แจกสติ๊กเกอร์ฟรี 4 ตัว: ติดลม, Kinoko & Labito, Shiba Inu, Sushiyuki ...เฉพาะช่วงเวลานี้เท่านั้น!

ขอบอกก่อนเลยว่าเป็นคนที่ไม่เคยซื้อสติ๊กเกอร์ไลน์ (ใช้ของฟรีเท่าที่มี 555) ดังนั้นจึงตื่นเต้นกับข่าวนี้เป็นพิเศษ ไลน์ได้เปิดตัว Creator Market ซึ่งเปิดให้นักวาดทั่วๆ ไปสามารถส่งสติ๊กเกอร์เข้ามาขายมาพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ได้มีผู้ส่งสติ๊กเกอร์เข้ามาขายจำนวนมาก เราเองยังมีแผนจะทำสติ๊กเกอร์ขายเลย (แต่ไม่เคยซื้อเลยนะ)
แล้วช่วงนี้คือไลน์เหมือนจะใจดี แจกสติ๊กเกอร์ฟรี ซึ่งแต่ละตัวเป็นสติ๊กเกอร์ยอดฮิตที่ขายในแต่ละประเทศได้แก่

Kinoko & Labito

จากไต้หวัน ตั้งแต่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2557

Shiba Inu

จากญี่ปุ่น  ตั้งแต่  4 – 10  พฤศจิกายน 2557

ติดลม

จากประเทศไทย  ตั้งแต่  11 – 17 พฤศจิกายน 2557

Sushiyuki 

จากญี่ปุ่น   ตั้งแต่  18 – 25 พฤศจิกายน 2557

อย่าลืมไปโหลดในช่วงเวลาที่เขาปล่อยด้วยล่ะ พลาดแล้วอดเลย

30 ตุลาคม, 2557

ใครคิดว่าตัวเองแน่! ลองไปเล่นเกมหาบั๊กโปรแกรมที่ codefights.com

การมองโค้ด (ที่พังอยู่) แล้วบอกได้ว่ามันพังตรงไหนถือเป็นสกิลที่โปรแกรมเมอร์ควรจะมีติดตัวไว้ แม้โค้ดนั้นเราจะได้ไม่เป็นคนเขียนหรือไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันเป็นโค้ดสำหรับทำอะไรก็เถอะ

วันนี้เราเลยมีเกมมาให้ลองเล่นกันดู นั่นคือ How Fast Can You Debug?





เข้าไปปุ๊บก็จะเจอกับหน้าตาเกมประมาณนี้ คือพอกดเริ่มเล่น มันจะมีโค้ดโปรแกรมสั้นๆ มาให้ 1 ชุดแบบนี้ไงล่ะ เท่าที่เล่นดูน่าจะมีแต่ภาษา JavaScript (ไม่ใช่ Java นะจ๊ะ)


หน้าที่ของคุณไม่มีอะไรมากหาให้เจอว่าโค้ดเนี้ยมันผิดตรงไหน แล้วก็แก้ให้ถูกซะ คำแนะนำคือพยายามเดาจากชื่อ function ก่อนว่าโค้ดชุดนี้มันทำหน้าที่คำนวนอะไร

แต่ถ้าเดาไม่ออกจริงๆ ก็ลองอ่าน comment ที่มันเขียนไว้ข้างบน มันจะบอกอยู่แล้วว่าโค้ดชุดนี้กำลังทำอะไร มีบอก input กับ output ที่ต้องการครบเลย


แต่ช้าก่อน!!

อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจไปนะ เพราะมันให้คุณแค่ข้อละ 60วินาที เท่านั้น!! ยิ่งตอนเหลือ10วินี่ลุ้นระทึกมากเพราะตัวเล่นจะเด้งไปเด้งมา (ฮา)
และจากที่เล่นมา ไม่ใช่ว่าเราแก้ตรงไหนก็ได้นะ คุณแก้ได้แค่ 1 บรรทัดเท่านั้น

ถ้าแก้ถูก ก็จะได้คะแนนตามความเร็วที่หาเจอ แล้วมันก็จะให้โค้ดชุดต่อไปมา เราก็ต้องแก้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะผิด


ซึ่งมันผิดได้ง่ายมากเลยนะ ไหนจะพิมพ์ผิด Syntax Error กดเร็วไปหน่อย บลาๆๆ เพราะมันไม่มีปุ่มให้เอาใหม่นะ กดส่งคำตอบแล้วถือว่าจบ


สุดท้ายก็จะบอกว่าเราได้คะแนนเท่าไหร่ ใครว่างๆ ก็ลองไปเล่นดูนะ
แนะนำเป็นสำหรับน้องๆ ที่เพิ่งเริ่มเขียนโปรแกรมมาระดับหนึ่งแล้ว เพราะน่าจะยากเกินไปสำหรับคนเพิ่งเริ่ม แค่อ่านให้ออกก็หมดเวลาแล้ว

25 ตุลาคม, 2557

[PR] ค่าย Young Webmaster Camp ครั้งที่ 12

หรือเรียกสั้นๆ ว่าค่าย YWC

เป็นค่ายที่เปิดให้น้องๆ ปี 3-4 (แค่นั้นนะ!) สมัครเพื่อไปเรียนรู้ว่าคนทำเว็บน่ะ เขาทำงานกันยังไงแบบหลักสูตรเข้มข้นชนิดที่ว่าอัดแน่นไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลย ...เว่อร์ไปๆ ฮา


โดยส่วนตัวแล้ว พี่(ขอเรียกตัวเองว่าพี่ในบล๊อกนี้ละกัน)ไม่ได้เป็นเด็กค่าย YWC นะ ต้องนั้นรับงานอยู่ เลยขี้เกียจไป งานเคลียร์ไม่ทัน แต่ถ้าถามว่าสมัครไปอยากเข้าสาขาไหนก็ขอตอบว่า "Web Content" และ "Web Marketing" ล่ะ (แต่แกเป็นโปรแกรมเมอร์ไม่ใช่เรอะ?)


4 สาขาสำหรับน้องเว็บ

การจะสมัครเข้าค่ายนี้จะมีการทดสอบและสัมภาษณ์ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะได้ ดังนั้นควรจะเตรียมตัวดีๆ หน่อย เลือกสาขาที่เข้ากับน้องเองไม่ก็กำลังสนใจ

Web Design

ตราตรึงทั้งสายตาและหัวใจของผู้ใช้เว็บด้วยศาสตร์และศิลป์แห่งการออกแบบ มาร่วมสร้างเว็บไซต์ที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์และน่าสนใจ ผ่านจินตนาการและฝีมือของคุณ

Web Content

วางกับดัก สะกดให้ผู้ชมติดเว็บไซต์ของคุณ ราวกับติดซีรีย์ มาเค้นประกายความคิดสร้างสรรค์ในตัวคุณ เนรมิตเนื้อหาที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตน เพื่อเชิญชวนให้ใครต่อใครติดใจในเรื่องราวการนำเสนอของคุณ

Web Marketing

หนทางของนักปั้นเซเลป ผู้ปั้นเว็บไซต์ให้โด่งดังเป็นที่รู้จักตีตลาดเว็บไซต์ของคุณให้ถึงมือผู้ บริโภคอย่างทั่วถึงสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการวางแผนโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ไม่ควรพลาด

Web Programming

พ่อมดแม่มดที่เนรมิตความฝันให้เกิดขึ้นจริงสร้างกลไกของเว็บไซต์ให้โดด เด่นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพผ่านสองมือของคุณก้าวสู่ความเป็น โปรแกรมเมอร์อย่างมืออาชีพ ศักยภาพในตัวคุณจะถูกปลุกขึ้นที่นี่

เปิดรับสมัคร(นานแล้ว) จนถึง 31 คุลา 57 เท่านั้นนะ กรุณาสมัครด่วนๆ ถ้าอยากไป ^__^

17 ตุลาคม, 2557

[เฉลยควิซ] การ์ตูน Disney - คุณจำได้ไหมว่าฉากนี้มาจากเรื่องอะไร


จริงๆ ควิซนี้ทำไว้นานมากแล้วล่ะ ตั้งแต่ต้นปีเลย แต่ดันเขียนเฉลยไว้ในอีกบล๊อกนึง วันนี้เกิดอยากย้ายเข้ามาใส่บล๊อกหลัก (เพราะจะลบบล๊อกย่อยนั้นทิ้งแล้ว) แต่มันต้องสร้างเป็นบทความใหม่ซะงั้น

ใครเคยเล่นแล้วก็ข้ามไปก็ได้ แต่เล่นใหม่ก็ดีนะ ทำตั้งนาน อิอิ ^__^
เฉลยเกม การ์ตูน Disney - คุณจำได้ไหมว่าฉากนี้มาจากเรื่องอะไร

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
          (spoil alert!!)          

ใครยังไม่เล่นลองไปเล่นก่อนนะ

ที่

การ์ตูน Disney - คุณจำได้ไหมว่าฉากนี้มาจากเรื่องอะไร 

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

16 ตุลาคม, 2557

4 สิ่งที่ควรทำก่อนเรียนจบปี 4

เวลาที่ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีกนะ ... ชีวิตนักศึกษามหา'ลัย (ป.ตรีแบบปกติ ไม่นับป.โท) ก็มีได้แค่ครั้งเดียวนะ ถ้าน้องๆ ปล่อยมันผ่านไปอาจจะเสียใจที่หลังก็ได้ว่า "ตอนนั้นทำไมไม่ทำนะ"

บล๊อกนี้เราพยายามรวบรวมเรื่องที่ตัวเองคิดทำแล้วเกิดประโยชน์มาก ไม่ก็ถ้ากลับไปได้จะทำตั้งแต่ตอนเรียน แต่ถามว่าไม่ทำแล้วใช่เรื่องใหญ่คอขาดบาดตายมั้ย ... ไม่เลย!
มันก็เป็นแค่เรื่องที่ "ควร" ทำเท่านั้น ไม่ใช่ "ต้อง" ทำ

1.วางแผนอนาคต (นิดหน่อยก็ยังดี)

น้องๆ หลายคนมักจะคิดว่าการสอบเข้ามหา'ลัยได้คือที่สุดแล้ว มันคือการปลดปล่อยจากการสอบเข้าอันเหนื่อยล้า ความคิดแบบนั้นแหละทำให้น้องเฉื่อยและไม่ตั้งใจเรียน (ไม่ตั้งใจเรียนก็ยังไม่เท่าไหร่นะ) และที่ร้ายที่สุดคือลืมเป้าหมายชีวิตจริงๆ ของตัวเอง
เราจะต้องทำงานหาเงิน ที่นี่คือสถานที่สุดท้าย นับถอยหลัง 4 ปี ใช้มันให้คุ้ม อย่าปล่อยผ่านไปวันๆ ล่ะ

แล้วนิยามของการ "ใช้มันให้คุ้ม" มีอะไรบ้าง?
  • คนชอบเรียน ก็เรียนไป แต่ระวังไว้ด้วยว่าพอทำงานแล้วไม่มีคนคิดโจทย์แล้วเอามาให้คุณแก้ แต่เขาจะให้คุณคิดโจทย์เอง แก้โจทย์เอง
  • คนชอบเล่น ก็เล่นไป จะเล่นเกม เล่นกีฬา เที่ยว ก็ทำไป ถือว่าปลดปล่อยครั้งสุดท้ายก่อนจะเจองานหนัก แต่อย่างเล่นอย่างเดียว หาความรู้สำหรับใช้ทำงานด้วย ใช้คำว่าหาความรู้นะ ไม่ใช่ทำเกรดให้ดี ... แต่อย่างว่า ถ้าคุณมีความรู้ เกรดจะเป็นผลพลอยได้เอง
  • คนเบื่อเรียน ก็ไม่โฟกัสที่การเรียนมาก ลองรับงานมาทำ คุณอาจจะเป็นเลิศในการทำงานมากกว่าการเรียนก็ได้นะ

2. สนความรู้+ประสบการณ์ดีกว่า .. เกรดไม่ใช่ทุกอย่าง (แต่ใช่ว่ามันไม่สำคัญ)

น้องๆ ส่วนใหญ่มักจะมองว่าเกรดที่อยู่บนผลการเรียนของเราตอนปลายเทอมคือตัวตัดสินทุกอย่าง แต่มันไม่ใช่เลย!

"ความรู้(สักอย่าง)" หรือ "ประสบการณ์(สักอย่าง)" ตั้งหากที่เราควรจะโฟกัสไปหาในระหว่างเทอมที่ผ่านมา ถ้าน้องไม่ได้ตั้งเป้าจะเรียนต่อหรือทำงานในสายวิชาการ เกรดมันก็มีความสำคัญแค่ 4 ปีในรั้วมหา'ลัยเท่านั้นแหละ อ้อ พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกนั้น มีผลการสมัครงานครั้งแรกนิดหน่อยด้วยเหมือนกัน

ลองคิดดูว่ามหาวิทยาลัยนี่น่ะ มันคือสถานที่สุดท้ายก่อนที่เราจะออกไปสู่โลกในชีวิตจริงๆ โลกที่ต้องทำงานหาเงิน แล้วอะไรที่ใช้ทำงานหาเงินได้? เกรดตอนเรียนหรือว่าความรู้ล่ะ
คำตอบคือความรู้ละนะ คนที่ได้เกรดไม่ดีแต่มีสกิลในการหาเงินมากกว่าอาจจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากกว่าคนที่เรียนเป็นอย่างเดียวก็เป็นได้

คนดังของโลกยุคนี้หลายคนที่ละการเรียนในมหา'ลัยออกไปทำงานตามความฝันตัวเองเลยเพราะว่าเขาพวกนั้นพบว่าการเรียนที่อาจารย์สอนนั้นไม่ตอบโจทย์เขาเลย ประมาณว่าสอนไปทำอะไรเนี่ย ฉันอยากรู้เรื่องนี้ๆๆ มากกว่านะ

แต่! ... ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำแบบนั้นได้นะ อาจจะเป็นหนึ่งในร้อย หรือ หนึ่งในพัน ดังนั้นน้องๆ ที่อ่านบทความนี้อยู่ก็อย่าเพิ่งละทิ้งการเรียนในมหาวิทยาลัยไปล่ะ แค่พยายามโฟกัสที่ความรู้ที่ได้ให้มากกว่าคะแนนก็พอ วิธีทดสอบว่าตัวเองโฟกัสที่คะแนนจริงแล้วรึเปล่าสังเกตง่ายๆเลย ... คุณจะตื่นเต้นและดีใจเมื่อเข้าใจอะไรที่เรียนเรื่องใหม่ๆ (ไม่จำเป็นต้องตรงกับเนื้อหา อาจจะเป็นเรื่องเล่าของอาจารย์ที่ทำให้เราปิ๊งบางอย่างก็ได้) แต่คุณจะเฉยๆ เวลาเห็นเกรด ก็งั้นๆ แหละ ฉันรู้ตัวดีว่าฉันมีความรู้แล้ว เกรดไม่ใช่ตัวตัดสิน

3. ลองทำงานจริงให้ได้มากที่สุด

การบ้าน ข้อสอบ กับโปรเจคในห้องเรียนมันไม่ทำให้น้องๆ รู้หรอกว่าจบไปทำงานน้องๆ จะเจออะไรบ้าง
  • เคยรู้มั้ยว่า "ลูกค้าผู้น่ารัก" เป็นยังไง ระดับอาจารย์ตรวจโปรเจคน่ะเหรอเด็กๆ ไปเลย
  • เคยรู้มั้ยว่า วิชาที่คุณถนัดเหลือเกินมันไม่มีใครใช้แบบนั้นแล้ว
  • อยากรู้มั้ยว่าบางเรื่องที่เรียนแล้วบ่นตลอดว่าไม่เห็นจะได้ใช้ มันเอาไปใช้ทำอะไร
คำถามพวกนี้น้องไม่มีทางจะรู้คำตอบหรอกจนกว่าจะจบออกไปทำงาน แล้วบางเรื่องที่ทำงานปุ๊บถึงจะรู้ว่ามันต้องใช่จะกลับมาเรียนทันเหรอ?
วิธีแก้ก็คือหาคำตอบพวกนั้นให้ได้ก่อนที่จะเรียนจบ จะได้มีเวลาแก้ตัวก่อนออกไปลุยสนามจริงๆ แต่ในเมื่อมหา'ลัยไม่สอน คุณก็ต้องหามันด้วยตัวเองล่ะ ลองรับงานจริงๆ จากลูกค้าจริงๆ ดู อาจจะเป็นจากเพื่อนๆ หรือประกาศในเน็ตว่าเป็นนักศึกษา อยากลองงาน ค่าจ้างถูกๆ ก็ได้นะ

แล้วคุณจะรู้ว่า "ลูกค้า" เป็นยังไง อารมณ์มันไม่เหมือนเราทำงานส่งอาจารย์แน่นอน ความกดดัน ความเครียด ความกังวลมันจะต่างกันเลย ยิ่งถ้าเป็นลูกค้าที่โทรตามงานบ่อยๆ นะบอกเลยว่าสนุกมาก (ประชดนะ ฮา)

4. ใช้สถานะ "นักศึกษา" ให้คุ้มที่สุด

บริษัทมากมายที่ชอบรับนักศึกษาไปฝึกงาน (ใช้งาน) แต่ถ้าน้องๆ จบมาแล้วจะไปเอาสถานะนักศึกษาจากที่ไหนอีกล่ะ ตอนนั้นมันไม่ใช่การฝึกงานแล้ว มันเป็นการ "ทดลองงาน" แล้วรู้มั้ยว่าการฝึกงานกับการสมัครงานแล้วเขาลองงานเรา 3 เดือน (ที่เขาเรียกกันว่า จะผ่านหรือไม่ผ่านโปรฯ น่ะ) มันต่างกันเยอะนะ

ถ้าน้องเขาไปบริษัทในฐานะนักศึกษา -> พี่ๆ จะมองว่ามีน้องใหม่มาฝึกงาน ต้องดูแล ต้องสอนงาน ให้น้องเป็นงาน
แต่ถ้าน้องเข้าไปในฐานะนักศึกษาจบใหม่มาสมัครงาน -> พี่ๆ จะมองว่าน้องคนนี้เป็นพนักงานใหม่ อาจจะมีสอนงานให้บ้าง แต่ก็ไม่ต้องมากหรอก สมัครผ่านมาได้น่าจะเป็นงานพอสมควรแล้ว รับโปรเจคไปลองทำเลยละกัน

ดังนั้นถ้ายังอยากเรียนรู้อะไรอยู่ พยายามทำตัวเป็นนักศึกษาไว้ก่อนนะ โอกาสก็มีช่วงปี3-4 และหลังจบปี4 (ช่วงที่เป็นรอยต่อ ยังพอจะใช้สถานะนักศึกษาได้อยู่)


---
ตอนนี้คิดได้เท่านี้ เอาไปแค่ 4 ข้อก่อนละกัน

สรุป...

ลองคิดว่ามหา'ลัยเป็นที่เตรียมตัวสำหรับชีวิตทำงานแบบผู้ใหญ่ คุณมีเวลา 4 ปีในการเตรียมพร้อมตัวเองให้มากที่สุด ลองปรับมุมมองตัวเอง ทุกคนทำได้ถ้าเชื่อมั่นในตัวเอง ชีวิตทำงานไม่ได้วัดกันที่คะแนน บางครั้งความตั้งใจและดวงก็ใช้เอาชนะได้

จาก ... คนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ^ ^

11 ตุลาคม, 2557

อ่านหนังสือยังไงให้ทันสอบ?

ช่วงนี้ก็ใกล้สอบล่ะนะ น้องๆ หลายคนคงจะประสบปัญหาคลาสสิก "อ่านหนังสือไม่ทัน" ไม่ก็ "อ่านไม่เห็นจะรู้เรื่องแล้ว" หรืออารมณ์ขึ้นหน่อยก็ "ไม่อ่านมันแล้ว(โว้ย)"... แหม่ คลาสสิกมาก บ่นกันมาทุกรุ่นแล้วก็ต้องทนอ่านกันต่อไปทุกรุ่นละนะ

วันนี้เลยจะมาสรุปวิธีการอ่านหนังสือของตัวเองให้ฟังหน่อยว่าตอนยังใช้ชีวิตแบบนักศึกษาอยู่น่ะ เราทำอะไรบ้าง

ย้ำว่าวิธีของเรานะ อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับหลายๆ คน ... น้องที่ถามว่า "พี่อ่านหนังสือยังไงให้ทันสอบ" ก็คิดก่อนนะว่าวิธีนี้น่ะมันใช้กับเราเองได้มั้ย


คิดว่า"เราทำได้"

ไม่ใช่ให้หลอกตัวเองนะ 555 น้องๆ ส่วนใหญ่มันจะคิดว่า(หนังสือ)เยอะขนาดนี้ เราทำไม่ได้หรอก ไม่เก่งพอ ถ้าคิดอย่างนี้ยังไงก็ทำได้ไม่ดี ไม่ว่าจะอ่านทัน หรือไม่ทัน ก็ต้องคิดไว้ก่อนว่าเราทำได้สิ คือให้คิด บวก (+) ไว้ก่อนอย่างดูถูกตัวเอง

รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเรามีสกิลในการทำความเข้าใจเนื้อหาขนาดไหน ถ้าน้องเรียนคณะด้านวิทยาศาสตร์ ผู้หญิงก็อาจจะเห็นว่าผู้ชายส่วนใหญ่มันไม่อ่านหนังสือกันเลยแต่แค่3วันก่อนสอบมันก็เข้าใจกันแล้ว แล้วทำไมฉันอ่านแล้วอ่านอีกมาเดือนนึกก็ยังทำไม่ได้

น้องต้องหาให้เจอว่าเราอ่านแบบไหนมันจำและเร็วที่สุด เช่นของเราเป็น "อ่าน3วันก่อนสอบ" เพราะสมาธิของเราไม่ค่อยมาก เป็นพวกเบื่อง่าย ถ้าอ่านนานกว่านั้นจะเบื่อแล้วเลิกอ่านไป สู้รวมสมาธิแล้วอ่านทีเดียวเลยดีกว่า ... แต่บางคนก็เป็นสายอดทน+สะสม พวกนี้จะต้องอ่านวันละนิดนิด แต่อ่านบ่อยๆ ทุกวัน เพราะสไตล์ของกลุุ่มนี้มันจะจำอะไรเยอะๆ ในคราวเดียวไม่ได้ ตัวเองเป็นสายไหนก็เลือกเอาละกัน

อาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง ฉันเลยอ่านไม่รู้เรื่อง (งั้นเหรอ?)

จากที่เจอมา มีอาจารย์ไม่เยอะหรอกที่จะสอนรู้เรื่อง โดยเฉพาะยุคนี้ที่การเรียนการสอนมีอุปกรณ์ช่วยมากมายเช่น สไลด์ ... ในความเห็นเราเนี่ย การสอนด้วยสไดล์เป็นอะไรที่แย่มากเป็นอันดับต้นๆ ทำให้คนเรียนไม่รู้อะไรเลย

แต่ก็อย่างว่านะ คุณเป็น "นักศึกษา" แล้วนะ ไม่ใช่นักเรียน ไม่มีคนมาป้อนแล้ว ต้องหาความรู้ด้วยตัวเอง ในเมื่ออาจารย์ (บางคน) ช่วยให้เราเข้าใจไม่ได้เลย ก็ต้องหาแหล่งความรู้ที่สอง นั่นคือ ตัวเอง เพื่อนที่มันเก่งๆ ไม่ก็จบที่ Google

มันเลยเป็นที่มาของวิธีการพลักของเรา! เรียนในห้องไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องเรียนในห้องสิ ห้องเรียนเอาไว้นอนพักผ่อน (แต่กลับหอพักแล้วต้องอ่านเองให้ได้ด้วยนะ)

นอน...

ปกติยิ่งใกล้สอบ น้องๆ จะนิยมการโต้รุ่งกันเพราะอ่านไม่ทัน แต่สำหรับเราแล้วยิ่งใกล้สอบเท่าไหร่ จะเพิ่มชั่วโมงการนอนของตัวเองขึ้นอีก

ถ้าปกตินอนวันละ 7 ชั่วโมง อาทิตย์ก่อนสอนอาจจะซัดไปสัก 8 ชั่วโมงเลยล่ะ การพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญ อยู่ต่อดึกๆ ไม่ได้แปลว่าคุณจะเข้าใจหรืออ่านทันขึ้นนะ รอชาร์ตพลังแล้วตื่นกลับมาอ่านใหม่ดีกว่า

เปิดติว

อ่านให้ตบสัก 1-2 รอบ ไม่ต้องจำได้หมดก็ได้ แล้วป่าวประกาศเลยว่า "ฉันจะติววิชานี้นะ" เพื่อนน้องจะแห่กันมาจากทั่วทุกทิศ เป็นการกดดันให้เราต้องอ่านเนื้อหาจนขึ้นใจเพราะสัญญาไปแล้วว่าจะติว แถมตอนติวคนอื่นนี่แหละ ทำให้จำอะไรดีมากเลย และเพื่อนมักจะมีคำถามที่คาดไม่ถึงมาเสมอทำให้เราจะรู้มากขึ้นเรื่อย ดีไม่ดี ติวไปติวมาเพื่อนกลับมาเป็นคนสอนเราแทนซะงั้น

สรุป

วิธีการอ่านหนังสือของเราไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่หรอก แต่มันเกิดจากสถานการณ์บังคับ (เริ่มตอนปี2ที่อาจารย์บางคนสอนไม่รู้เลย ปี1นี่ยังเข้าใจได้อยู่นะเลยยังเรียนในห้องอยู่) ในเมื่อเขาสอนสไตล์เขาแล้วเราไม่รับ ก็เปล่าประโยชน์ที่จะเรียนในห้อง ใช้วิธีอ่านเองดีกว่า งั้นเวลาในห้องทำไรล่ะ ก็ใช้พักผ่อนไง แต่พักผ่อนจริงๆ นะไม่ใช่นั่งเล่นมือถือ

ก็พยายามหาวิธีอ่านหนังสือของตัวเองให้เจอละกัน ยิ่งเจอเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

สุดท้ายของฝากไว้ ... คะแนนกับเกรดไม่ใช่ทุกอย่าง มันจะมีค่าก็แค่ตอนเรียนกับตอนหางานครั้งแรกเท่านั้นแหละ เรียนจบไปคุณอาจจะทำเงินได้มากกว่าเพื่อนที่สอบได้คะแนนเต็มตลอดก็ได้นะ ;)